กลับมาต่อกับ ความจริง ตอนที่5
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไป อาการผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมมีไข้สูงแถมไอ้รอยผื่นแดงๆตรงคอของผมก็ไม่ได้มีอาการที่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่แย่ลงกว่าเดิม ความจริง ก็คือไอ้พิธีการไล่ผีในครั้งนั้นมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย แถมมันยังทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกโดยเฉพาะสภาพจิตใจของผม
ในตอนนั้นผมเองรู้สึกได้เลยว่าความตายมันสามารถเกิดขึ้นกับผมได้แทบจะทุกวินาทีเลย
ผมเกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันจนสุขภาพของผมเองทรุกโทรมจนสุดท้ายผมเองก็ต้องออกจากงาน
ที่หนักกว่านั้นก็คือตัวผมเองเกิดอาการกลัวจนหลอน ไม่ว่าจะเป็นกลัวที่จะมองผ่านหัวไล่ตัวเอง หรือแม้กระทั้งคิดว่ามีอะไรเคลื่นไหวผ่านสายซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นแค่ใบไม้ปลิวแค่นั้นเอง มันก็ทำให้ผมเกิดอาการ “ หลอน “ และกลัวว่า “ มัน “ จะโผล่ออกมาอีกครั้ง
ในตอนนั้น, เพียงแค่เวลาเพียง 10 วัน คุณเชื่อผมไหม…ชีวิตของผมมันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ยิ่งสภาพใบหน้าของผมในตอนนั้นมันต่างจาก 10 วันก่อนหน้าเอามากๆ เรียกได้ว่าเป็นคนละคนเลยดีกว่า
ผมเองก็จินตนาการต่อไม่ได้เลยว่าหน้าสภาพของผมจะเป็นอย่างไรต่อจากนั้น อีกมากกว่า 14วันที่ผมจะได้พบกับคุณซาวาดะ และด้วยการดำเนินชีวิตของผมในช่วงนั้นก็ยิ่งยากที่จะตอบได้ว่า ผมนั้นจะสามารถรอดชีวิตไปได้จนถึงวันนั้นหรือเปล่า…
เช้าวันหนึ่ง…คุณพ่อของผมได้นำตัวผมไปยังรถของพวกเขา พวกเขาไม่ได้พูดอะไรมาก และตัวผมเองก็ไม่ได้ถามพวกเขาด้วยว่าพวกเราจะเดินทางไปที่ไหน สภาพของผมในตอนนั้นแย่เกินกว่าที่ผมจะมีแรงที่จะถามพวกเขาหรือแม้แต่จะสนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น…
พ่อของผมเป็นขนที่อาสาขับรถ ส่วนคุณแม่ของผมก็นั่งอยู่ทางเบาะด้านหลังกับผม เธอโอบกอดผมไว้แน่นพร้อมทั้งคอยลูบหัวปลอบผมตลอดระยะทางที่รถวิ่งไป เรียกได้ว่าเกือบสิบปีที่ผมไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มานานมาก สัมผัสจากคุณแม่ของผม มันทำให้ผมนั้นรู้สึกปลอดภัยซึ่งมันทำให้ผมนั้นสามารถหลับได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น…ในตอนนั้นผมจำได้แค่ว่าผมหลับไปนานมาก
หลังจากที่ผมตื่นขึ้น ผมก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมมาก ภาพวิวที่ผมเห็นภายนอกตัวรถนั้นมันเป็นวิวทิวทัศที่ชวนให้ผมนึกถึงช่วงเวลาในวัยเด็กของผม และมันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าในตอนนั้นผมได้อยู่ที่จังหวัดนางาซากิแล้ว
พ่อแม่ของผมท่านขับรถข้ามจังหวัดเพื่อที่จะไปพบกับคุณซาวาดะให้ได้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางเกือบถึงสองวันเต็มๆและใช้เวลาจอดพักรถเพียงไม่กี่ครั้ง ซึ่งตัวผมเองนั้นก็ได้นอนหลับตลอดการเดินทาง อันที่จริงต้องบอกว่าผมสลบไปเนื่องจากไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลานานซะมากกว่า
และในไม่ช้าพวกเราก็มาถึงเมืองที่ชื่อว่า “ ยานางาวะ ” ที่ซึ่งตายายของผมและคุณซาวาดะนั้นอาศัยอยู่ พ่อกับแม่ของผมนั้นได้รีบตรงไปรับคุณตากับคุณยายของผมก่อนเป็นอย่างแรก คุณพ่อของผมได้จอดรถตรงที่ข้างๆใกล้กับบ้านของคุณตาและคุณยาย (เพราะบ้านของพวกท่านนั้นค่อนข้างเล็ก และพวกท่านอาศัยอยู่ในภูเขา ซึ่งตรงบริเวณทางเข้าบ้านของพวกท่านนั้นค่อนข้างแคบและรถไม่สามารถขับผ่านเข้าไปได้)
ตั้งแต่ที่คุณตาเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับหัวเข่า คุณพ่อกับคุณแม่ของผมจึงต้องไปช่วยพาคุณตามายังตำแหน่งที่รถจอดอยู่ ซึ่งพวกท่านก็ได้ถามผมว่าผมอยากจะลงรถไปกับพวกเขาไหมเพื่อที่ผมเองก็มีโอกาสที่จะได้ลงไปทักทายกับคุณตาคุณยายของผมแต่ว่าผมในตอนนั้นได้ปฏิเสธพวกเขาไป
พ่อกับแม่ไปรับคุณตากับคุณยายเถอะเดี๋ยวผมรออยู่ในรถนี่แหละ ไม่ต้องเป็นห่วง…
ในตอนนั้น…ผมไม่แน่ว่าเพราะตัวของผมนั้นอยู่ห่างจากโตเกียวรวมไปถึงการที่ผมได้พักผ่อนด้วยหรือเปล่า ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าตัวผมในตอนนั้นกลับรู้สึกโล่งใจรวมไปถึงรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
ผมนั่งกอดเข่าอยู่ที่เบาะหลัง พยายามชื่นชมวิวทิวทัศน์ภายนอก แต่จู่ๆไอ้อาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณลำคอก็มากำเริบขึ้นอีก ซึ่งคราวนี้มันรุนแรงกว่าครั้งไหนที่ผ่านมา
ผมรีบเอามือไปจับตรงคอของผมแต่ว่ามือของผมกลับรู้สึกมีอะไรบางอย่าง
และผมก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ผมเห็น เพราะฝ่ามือของผมมันเต็มไปด้วยคราบเลือด ซึ่งมันนำผมกลับไปสู่ความจริงที่ผมไม่อยากที่จะต้องเผชิญ… บอกตรงๆนะครับผมเกลียดความรู้สึกนี้เอามากๆ
หัวใจของผมรู้สึกแตกสลาย ในตอนนั้นผมรู้สึกเหนื่อยกับเรื่องพวกนี้เอามากๆ
ผมเหนื่อยที่จะต้องมากังวล หรือว่ากลัวหรือแม้แต่อาการจิตตก ผมเหนื่อยกับการที่ตัวผมต้องมาจมอยู่กับไอ้เรื่องบ้าๆพวกนี้
ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเองเคยรู้สึกแบบเดียวกับที่ผมเป็นหรือเปล่า ที่ต้องมาจมอยู่กับสถานการณ์ที่เหมือนจะดีขึ้น ทุกอย่างเหมือนจะมีความหวัง อะไรๆก็เหมือนที่จะดีขึ้นแต่แล้ว ไอ้เรื่องแย่ๆมันก็กลับเข้ามาหาคุณอีกเป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่จบไม่สิ้นซักที
ผมเชื่อว่าใครที่เป็นเจอกับสถานการณ์แบบนั้นสภาพภายในจิตใจของคุณก็คงจะรู้สึกแย่เอามากๆ
ตัวผมเองนั้นกำลังเริ่มที่จะรู้สึกดีอยู่แล้วเชียวแต่ว่า เรื่องบ้าๆนี่มันก็เข้ามาพรากความรู้สึกดีๆไปจากผมอีกจนได้ ในใจผมตอนนี้เต็มไปด้วยความสิ้นหวังอีกครั้ง
อีกครั้งที่ผมร้องไห้ ซึ่งในตอนนั้นผมเองก็บอกไม่ถูกว่าผมร้องไห้เพราะอะไรมันเป็นความรู้สึกแย่ๆหลายๆอย่างผสมกัน ทั้งเศร้า ทั้งโมโห ทั้งผิดหวัง และอีกสารพัด แล้วผมก็ทำได้แค่บ่นพึมพำกับตัวเองอยู่ในรถ
ไอ้เ-ี้ยเอ้ย มึงต้องการอะไรจากกูกันแน่วะ !?
เมื่อไหร่มึงจะไปให้พ้นๆจากชีวิตกูซักที? มึงจะมาหลอกมาหลอนอะไรกูนักหนา…
เมื่อพ่อกับแม่ผมกลับมาที่รถพร้อมกับตาและยายของผม พวกเขาต่างก็ตกใจในสภาพที่เห็นผมนั้นนั่งร้องไห้พร้อมกับสภาพที่โชกเลือดอยู่ที่เบาะหลังของรถ สีหน้าของพวกเขาในตอนนั้นตกใจและตื่นตระหนกเอามากๆ
“ โคตะเกิดอะไรขึ้น ? ”
“ พูดอะไรซักอย่างสิ ”
“ เข้มแข็งไว้นะ ”
“ แย่แล้ว พวกเราจะทำยังไงกันดี ”
“ สภาพเขาดูแย่มากเลยนะ ”
“ โคตะหลานไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ”
“ เจ็บตรงไหนบ้าง?”
“ พูดอะไรสักอย่างสิ? ”
พวกเขาถามผมด้วยอาการช็อคสุดขีด พวกเขาในตอนนั้นต่างรู้สึกตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ถามผมซ้ำๆวนไปวนมา จนสุดท้ายผมเองก็เกิดอาการสติแตกเช่นกัน…
ในตอนนั้นผมตะคอกใส่พวกเขา จะด้วยความรู้สึกใดๆในตอนนั้นผมก็บอกกับพวกคุณไม่ได้เช่นกันว่าผมรู้สึกอย่างไร
“ หุบปาก!! หุบปาก!! ทุกคนเงียบกันให้หมดเลย ทุกคนจะให้ผบอกว่าอะไรละ? อยากให้ผมอธิบายอะไรละ? คิดว่าผมจะบอกได้หรือไงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผม? ”
“ ถ้าเกิดว่าผมบอกไปแล้วทุกคนจะช่วยอะไรผมได้ผมก็จะบอกแต่ถ้าเกิด บอกไปแล้วช่วยอะไรผมไม่ได้งั้นก็ช่วยหุบปากกันซักที !! ”
ผมรู้สึกเสียใจที่ไปตะคอกใส่พวกเขา… ผมรู้ว่าพวกเขาพยายามที่จะช่วยผม แต่สภาพในตอนนั้นมันทำให้ผมสติแตกจริงๆ ผมทั้งรู้สึกเจ็บ ทั้งกลัว และเหนือสิ่งอื่นใดคือความสิ้นหวัง แล้วก็โกรธเอามากๆ
ผมไม่อยากจะยอมรับกับสิ่งความจริงที่เกิดขึ้นกับผม ไอ้การที่พอสุดท้ายแล้วตัวผมก็ถูกผลักให้จมสู่ความมืดความสิ้นหวังอีกครั้ง ทั้งๆที่ในตอนนั้นตัวผมเองอุตส่าห์ได้เกิดความรู้สึกดีๆขึ้นอีกครั้งแล้วแท้ แต่สุดท้ายความจริงมันได้แสดงให้ผมเห็นแล้วว่าที่ผ่านมาผมมันแค่เพ้อเจ้อ คิดว่าเรื่องมันจะจบและอะไรๆจะดีขึ้น… ทุกอย่างที่ผมคิดแ-่ง เพ้อเจ้อ!!
ยังไม่ทันจะได้ตั้งสติผมก็ถูกตบหน้าฉาดใหญ่ๆด้วยมือของคุณพ่อของผม (ซึ่งพ่อของผมเองไม่เคยตีผมมาก่อนเลย)
เขาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและจริงจัง “ พูดขอโทษคุณตากับคุณยายของแกซะ ”
สิ่งที่คุณพ่อของผมทำมันเรียกสติของผมกลับมาอีกครั้ง
มันเหมือนกับว่าผมจะช็อคกับการที่ผมโดนตบหน้าจะทำให้ผมลืมความรู้สึกที่พึ่งจะเกิดขึ้นกับผม แต่ที่จริงแล้วต้องบอกว่ามันคือการเตือนสติผมให้ยอมรับกับความจริงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมมากกว่า
หลังจากนั้นผมรีบขอโทษทุกคนที่ผมไปตะคอกใส่พวกเขา
หลังจากนั้นพวกเราทุกคนก็ขึ้นรถ แล้วก็ขับไปยังวัดของคุณซาวาดะ ตากับยายของผมพยายามที่จะปลอบใจผมรวมไปถึงให้กำลังใจตลอดทางที่จะไปที่วัด ผมสัมผัสได้ถึงความรักและกำลังใจจากทุกๆตลอดทั้งการเดินทางในครั้งนั้น จนมันทำให้ผมร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันอีกครั้ง
บางที…นี่อาจจะเป็นเรื่องดีๆแค่เรื่องเดียวที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ผมไม่เคยรู้เลยว่าตัวของผมที่ผ่านมานั้นอ่อนแอแค่เพียงใด หรือไม่รู้แม้แต่ว่าครอบครัวของผมรักผมมากขนาดไหน
.
.
.
จบตอนที่ 5
เรื่องราวของ ความจริง ในตอนหน้าจะเป็นยังไงนั้นรอติดตามได้ถายในอาทิตย์หน้า กับตอนที่ 6 การพบกับคุณซาวาดะ (Meeting Sawada)
และในสัปดาห์นี้ทางเราต้องขออภัยด้วยที่โพสอัพเดตเรื่องราวล่าช้าเอามากๆ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องของตัวเว็บรวมไปถึงเซิร์ฟเวอร์ซึ่งกว่าจะแก้ปัญหาได้ก็เล่นเอาดึกเหมือนกัน 😥
ส่วนใครที่อยากอ่าน Real | ความจริง ตอนอื่นๆสามารถกดเลือกได้ตาม link ข้างล่างนี้ได้เลย
Real | ความจริง Part 1 : The Beginning
Real | ความจริง Part 2 : วันต่อมา (The next day)
Real | ความจริง Part 3 : การเดินทางกลับบ้าน (Coming home)
Real | ความจริง Part 4 : คุณฮายาชิ (Hayashi)
Real | ความจริง Part 6 : การพบกับคุณซาวาดะ (Meeting Sawada)
Real | ความจริง Part 7 : การใช้ชีวิตภายในวัด (Life at the temple)
Real | ความจริง Part 8 : การเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง (Starting a life again)
Real | ความจริง Part 9 : จดหมายลาจากคุณซาวาดะ (A letter from Sawada)